ในสังคมที่โลกออนไลน์กำลังเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตของคนรุ่นใหม่ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อออนไลน์ ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อเราในทุกขณะของชีวิต ตั้งแต่ตื่นเช้าจนกระทั่งเข้านอน สำคัญไปยิ่งกว่านั้นความรวดเร็วและความสะดวกสบายของโลกออนไลน์ยังถูกนำมาใช้ประโยชน์กับกลุ่มคนทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบันนี้
การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คำที่มีความหมายค่อนข้างกว้าง เนื่องจากการตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน มีช่องทางหลากหลายเพิ่มมากขึ้นและมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า การตลาดออนไลน์ คืออะไร…
การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คือ การทำการตลาดในสื่อออนไลน์ เช่น โฆษณา Facebook, โฆษณา Google, โฆษณา Youtube, โฆษณา Instagram โดยที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะใช้วิธีต่าง ๆ ในการโฆษณาเว็บไซต์ หรือ โฆษณาขายสินค้าที่จะนำสินค้าของเราไปเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้และเกิดความสนใจ จนกระทั่งเข้ามาใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราในที่สุด โดยการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) สามารถทำได้หลายช่องทาง ดังนี้
Search Engine Marketing คือ การตลาดออนไลน์บน Search Engine เป็นการทำให้สินค้าของเราติดอันดับการค้นหาในลำดับแรก ๆ ซึ่งจะทำให้เราถูกค้นพบได้ง่ายและถูกคลิกได้บ่อยกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ด้านล่างหรืออยู่ในหน้าถัดไป แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
Email Marketing คือ การตลาดออนไลน์ที่ทำผ่านอีเมล มีขึ้นมาเพื่อส่งข่าวสาร โปรโมชันต่าง ๆ ถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย เป็นการตลาดที่ต้นทุนต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับการตลาดในรูปแบบอื่น ๆ อีกทั้งยังเป็นการตลาดออนไลน์ที่ตรงกลุ่ม และสามารถเข้าถึงผู้รับภายในเวลาอันรวดเร็วได้
Social Marketing คือ การตลาดออนไลน์ที่ทำผ่าน Social Network ต่าง ๆ เช่น Facebook, Twitter, Instagram, Pinterest, Tiktok, ฯลฯ ซึ่ง Social Marketing กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีสถิติการใช้งานสูงกว่าแหล่งออนไลน์ประเภทอื่น
การจะทำการตลาดออนไลน์ให้ตอบโจทย์และสามารถสร้างตัวตนของบริการหรือผลิตภัณฑ์เราขึ้นมาได้ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ
1. สินค้าต้องมีคุณภาพ
แน่นอนว่าองค์ประกอบข้อนี้สำคัญที่สุด คือ สินค้าต้องมีคุณภาพ เพราะหากนำสินค้าที่ด้อยคุณภาพมาวางขาย ไม่ว่าคุณจะทำการตลาดด้วยเทคนิคและกลยุทธ์ใด ๆ ก็ตาม ผู้ใช้งานจะไม่พึงพอใจ หรือหากสินค้าเกิดการเสียหายขึ้นจะส่งผลต่อภาพลักษณ์และทำให้ธุรกิจของคุณดูแย่ลงในสายตาของคนทั่วไป
ยกเว้นเสียแต่ว่าสินค้าที่นำไปใช้งานนั้นเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค ธุรกิจต้องรับผิดชอบโดยการสร้างบริการหลังการขาย เพื่อเสนอทางเลือกใหม่หรือทำการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่นั่นเอง
2. คอนเทนต์ดี
การสื่อสารถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ ในยุคนี้ และการสื่อสารที่ดี คือ ผู้รับสารต้องเข้าใจความหมายของสารที่ต้องการสื่ออย่างชัดเจน อธิบายรายละเอียดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกิดข้อสงสัยขึ้นหลังจากที่ได้รับสารนั้น ๆ แล้ว เช่นเดียวกันสำหรับการทำการตลาดออนไลน์นั้น Content ที่ดี ก็เปรียบเสมือนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ธุรกิจจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์ Content ที่ดีอยู่เสมอ และไม่หยุดที่จะสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการให้ผู้บริโภครับรู้
3. ฐานข้อมูลลูกค้าสำคัญ
ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ออฟไลน์ หรือ ออนไลน์ ก็ตามแต่ การมีฐานข้อมูลของลูกค้าเปรียบเสมือนการมีขุมทรัพย์มหาศาลที่ช่วยให้สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ และการมีฐานข้อมูลของลูกค้าในปริมาณมากนั้นจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ เลย หากไม่นำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนหรือรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในแต่ละบุคคล ความชอบ หรือไม่ชอบ ตลอดจนช่วงเวลาในการซื้อสินค้าก็เป็นสิ่งสำคัญ การนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์จะทำให้สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับเปลี่ยนหรือวางแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคได้นั่นเอง
4. แผนสำรอง
การทำธุรกิจที่ดีควรมีแผนสำรองเตรียมไว้เสมอ นั่นก็เพื่อรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และสามารถช่วยลดความเสี่ยงในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งในความเป็นจริงเราไม่มีทางรู้หรอกว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แม้แผนการที่เราเตรียมไว้จะรัดกุมและรอบคอบมากแค่ไหน หรือคิดว่ามันดีที่สุดในตอนนี้ ‘แต่อนาคต คือ สิ่งที่ไม่แน่นอน’ อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในทางบวกและทางลบ
ดังนั้น การมีแผนสำรองเตรียมไว้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่น ไม่ควรมีช่องทางการติดต่อแค่ช่องทางเดียวเท่านั้น ควรเพิ่มช่องทางการติดต่อให้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, Line หรือแม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ อีเมลต่าง ๆ เพราะหากมีแค่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งและเกิดระบบล่มหรือมีความผิดพลาดเกิดขึ้นมา ลูกค้าจะสามารถติดต่อผ่านช่องทางอื่น ๆ ของเราได้นั่นเอง
5. เป้าหมายที่ชัดเจน
การทำธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องมีการวางเป้าหมายสูงสุดที่ชัดเจน โดยเป้าหมายของการทำธุรกิจออนไลน์ คือ ต้องการเข้าถึงลูกค้าในระดับ Advocate การใช้สินค้าแล้วเกิด การบอกต่อ จนนำไปสู่ การโปรโมท (Promote) สินค้า เช่น ใช้แล้วดี ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจนเกิดการบอกต่อ หรือช่วยโปรโมทสินค้าให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ เป็นต้น
การโปรโมทและโฆษณาสินค้าให้เป็นที่รู้จักนั้น ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ และการทำธุรกิจเพื่อให้กลุ่มลูกค้านั้นรู้จักและเลือกซื้อสินค้า ซึ่งขั้นตอนการโปรโมทและโฆษณาสินค้ามีวิธี ดังนี้
เป็นการสำรวจตัวตน สำรวจธุรกิจและสินค้าของเราก่อน ให้เราเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ เพื่อที่เราจะได้หยิบจุดแข็งนั้น มาชูเป็นจุดขาย นอกเหนือจากนี้การที่เราเห็นจุดอ่อน เรายังสามารถที่จะแก้ไขหรือลดจุดอ่อนให้น้อยลง
เมื่อเราเข้าใจสินค้าของเราแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายว่า ต้องการสินค้าแบบไหน คุณสมบัติอะไร และต้องการเอาไปใช้ในลักษณะไหน เราจำเป็นต้องรู้ความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด เพื่อที่จะนำเสนอสิ่งที่ต้องการให้ได้ใกล้เคียงมากที่สุด
เมื่อเราเข้าใจสินค้ารู้จุดดี-จุดด้อยแล้ว และเราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค สิ่งที่เราควรจะทำคือ นำจุดเด่นจุดนั้นเข้ามาเชื่อมกัน ลากจุดเด่นเข้าไปถึงจุดที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้และนำจุดนั้นมาเป็นจุดขายของสินค้า
ทีนี้ก็ถึงคราวเอาสิ่งที่เราวิเคราะห์กันมาตั้งแต่ต้น เอามาทำโฆษณา โดยที่เราสามารถนำเอาจุดเด่นและจุดขายของสินค้ามาโฆษณาได้ โดยไม่ว่าจะทำ แบนเนอร์ โปสเตอร์ ใบปลิว แผ่นพับ หรือแม้แต่ทำโฆษณาวิทยุ โทรทัศน์ และรวมถึงการทำโฆษณาแบบออนไลน์ด้วยเช่นกัน
เมื่อเราทำโฆษณาแล้ว มีสื่อโฆษณาในมือแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการเลือกสื่อ เพราะการเลือกสื่อที่ดีนั้น จะทำให้กลุ่มเป้าหมายและกลุ่มลูกค้าเราเห็นโฆษณาของเรา และเมื่อกลุ่มลูกค้าของเราเห็นโฆษณาสินค้าของเราก็ทำให้เรามีสิทธิ์ขายของได้มากขึ้น และเนื่องจากสื่อโฆษณามีให้เลือกอยู่มาก โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ต่างทั่วโลก รวมถึง social media อย่าง facebook เราจำเป็นต้องรู้จักผู้บริโภคให้ดีจึงทำให้เราเลือกสื่อโฆษณาได้ตรงเป้าและสามารถสื่อสารที่เราต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อโฆษณาพร้อมแล้ว เลือกสื่อได้แล้ว ก็ทำการโฆษณาได้เลย แต่การทำโฆษณานั้นสามารถทำได้สองทาง หนึ่ง คือทำเอง ติดต่อกับสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น tv วิทยุ หรือสร้าง account ผ่าน google facebook เพื่อโฆษณาได้เลย และอีกทางหนึ่งคือให้ทาง media agency เป็นคนติดต่อและลงสื่อให้
เมื่อทำการโฆษณาไปเรียบร้อยแล้ว เราก็นำตัวเลขต่างๆมาเปรียบเทียบกับเป้าหมายของเราว่า ได้ลูกค้าที่ต้องการมั้ย คนเห็นโฆษณาเยอะน้อยแค่ไหน คนเข้าเว็บไซต์เรามากน้อยแค่ไหน รวมถึงตัวเลขต่างๆ และก็นำตัวเลขต่าง ๆ มาวิเคราะห์และประเมินแล้วจึงนำมาปรับปรุงให้ผลลัพท์ดีขึ้นๆ เข้าเป้ากับเป้าหมายธุรกิจ
เวลาเรามี account ของเราเองใน facebook มีข้อดีคือ เราสามารถไปเปิด fanpage ได้ ซึ่งตัว fanpage นั้นดีกว่า account ตรงที่สามารถทำโฆษณาแบบเสียตังค์ได้ (facebook ad) ตั้งเวลาโพสต์ได้ ย้อนหลังก็ได้ แต่ข้อเสียคือ โอกาสที่คนที่ Like page จะเห็นโพสต์ของเราทั้งหมด หรือเรียกว่า organic reach จะน้อยกว่าโพสต์มาจาก account ของเราเองค่ะ ดังนั้น ที่ใช้กันบ่อย ๆ คือใช้ควบคู่กันไประหว่าง account ของเราเองและ facebook fanpage โพสต์ไหนเป็นเรื่องของธุรกิจล้วน ๆ ก็ใช้ fanpage ไป โพสต์ไหนไม่ได้โฆษณาแบบเน้น ๆ เขียนแบบซอฟท์หน่อยๆ ไม่ได้ hard sales มากก็ใช้ account ของเราเองสลับกันไปได้
ถ้าเป็นนักเขียน เราสามารถใช้รูปหน้าปกหนังสือในการโปรโมตโพสต์ได้ ข้อแนะนำคือ ถ้าเรามีผลิตภัณฑ์ที่หลายอย่าง หรือ หนังสือหลายเล่ม ควรทำการโปรโมตผ่าน facebook เรื่องเดียวหรือเล่มเดียวในช่วงเวลาหนึ่ง อย่าทำหลายเรื่อง ๆ หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะคนซื้อจะงงว่า จะซื้ออะไรดี ซื้ออะไรแน่ เพราะต้องยอมรับว่าถ้าไม่ใช่แฟนพันธ์ุแท้ของเราจริง ๆ
เดี๋ยวนี้เราจะเห็น Group ใน facebook เยอะแยะมาก ไม่ว่าเป็น Group ตลาดซื้อขายบทความ E-book หรือ Group งานเขียน ebook อีกเทคนิคนึงที่ใช้การสร้าง connection คือ สร้าง Group พวกนี้ขี้นมาเองเลยค่ะ ถ้าทำแล้ว Group ประสบความสำเร็จ ก็จะมีนักเขียนคอเดียวกันมาร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ผลงานตัวเอง แล้วก็ได้โฆษณาหนังสือของเราไปด้วย แต่ถ้าคิดว่าสร้าง Group ขึ้นมาแล้วคิดว่าไม่สามารถดูแลได้ ใช้วิธีไป join ใน Group อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานเขียนของเราก็ได้เช่นเดียวกัน เพียงหมั่น active บ่อย ๆ จะช่วยสร้าง connection ให้กับเราได้อีกทางหนึ่งด้วย
แน่นอนเมื่อเราทำโฆษณาผ่าน fanpage ได้ อย่าทุ่มโฆษณาเยอะมาก ๆ หรือเนื้อหาซ้ำกันบ่อย ๆ ในทุก ๆ โพสต์ เพราะว่าจะสร้างความรำคาญให้กับคนอ่านมากกว่าสร้างความอยากซื้อ เราจะอาจจะเจอ Unlike ได้ ควรมีจังหวะการลงโฆษณา จังหวะที่ไม่ลง เว้นวรรคด้วยลงโพสต์ที่มีประโยชน์กับคนอ่าน
เวลาเราลงโฆษณาแบบเสียเงินใน fanpage เราสามารถตั้งค่าให้คนอ่านเห็นโฆษณาของเราได้ ยิ่งถ้าตัวเลขประมาณการคนเห็นเยอะ เงินเราก็จะเสียเยอะหรือหมดเร็วด้วย
สุดท้ายนี้ การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เรารู้จักสินค้าของเรา และสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนได้ เพียงเท่านี้สินค้าของเราก็สามารถเป็นที่รู้จัก และสร้างยอดขายในโลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย
ที่มา :
https://nipa.co.th/th/article/digital-marketing/การตลาดออนไลน์-online-marketing-คืออะไร