รู้จัก วีรพร นิติประภา ผู้เคยคว้ารางวัลซีไรต์ถึง 2 เล่ม

รู้จัก วีรพร นิติประภา ผู้เคยคว้ารางวัลซีไรต์ถึง 2 เล่ม

 

“เนื่องจากมันจะเป็นนิยายเรื่องแรก มันจำเป็นต้องหาวิธีการเขียน เอาพล็อตง่ายๆ เอาพล็อตแบบที่ไม่ต้องคิด ไปยุ่งเรื่องเทคนิค เราจะเล่าเรื่องนี้อย่างไร เส้นเรื่องจะเป็นอย่างไร ไทม์ไลน์จะเป็นอย่างไร เราจะทำอย่างไร เป็นการสำรวจมากกว่า เพราะฉะนั้น มันก็เลยเริ่มด้วยพล็อตน้ำเน่าก่อน อันนี้ไอเดียแรกๆ เลย”

– วีรพร นิติประภา –
จากบทสัมภาษณ์ใน sanook.com
.
.
วีรพร นิติประภา หรือ คุณแหม่ม คือหนึ่งในนักประพันธ์ไทยที่สร้างปรากฏการณ์ในแวดวงวรรณกรรมไทยด้วยการเขียนหนังสือเรื่อง #ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต นวนิยายเล่มแรกของเธอ และคว้ารางวัลซีไรต์มาได้ในปี พ.ศ.2558 ก่อนสร้างงานเขียนวรรณกรรมเนื้อหายาวออกมาอีกเล่มในชื่อ #พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ และคว้ารางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ.2561 ไปครองอีกครั้ง
.
ผลงานของคุณวีรพรนั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การเล่าเรื่องและภาษาที่ละเมียดละไม และเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับการเมืองและสังคม นั่นจึงทำให้หนังสือที่เธอได้เขียนออกมามีคนให้ความสนใจเป็นวงกว้าง
.
.
นอกจากหนังสือ 2 เล่มนี้ที่เธอคว้ารางวัลมา ก็ยังมีผลงานหนังสืออีกมากมายที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น
.
📓 #โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก
📓 #ทะเลสาบน้ำตา
📓 #สมิทธิ์อายุ35ปี

5 ข้อสำหรับการเป็นนักเขียนรีไรต์ที่ดี

การรีไรต์ ก็เหมือนกับการนำบทความ เนื้อหา ของผู้อื่นมาต่อยอดเป็นงานเขียนของตัวเองให้มีคุณภาพย่ิงขึ้น โดยมีการประยุกต์คำ ประโยคขึ้น ใส่มุมมองใหม่ๆ ของเราให้รูปประโยค เนื้อความกระจ่างขึ้นนั่นเอง แต่เนื้อความในบางจุดยังคงมีเรื่องที่นักเขียนท่านอื่นได้เขียนหรือเล่าเรื่องราวไปบ้างแล้ว
.
การรีไรต์อาจมองว่าเป็นการก๊อปปี้ผลงานของผู้อื่น แต่ในบางครั้งเราก็มองได้ว่า นี่คือการสร้างสรรค์งานเขียนให้ดีขึ้นกว่าเดิม
.
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับนักเขียนทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่ถนัดในการเขียนรีไรต์ นั่นคือ บทความที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่นั้นจะต้องไม่เป็นเรื่องที่ล่อแหลม หรือสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นค่ะ
.
นอกจากนั้น สิ่งที่เราควรตระหนักถึงก็คือ หากเนื้อหาในบทความที่เราได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่นั้น เป็นแนวหาในเชิงที่ต้องให้เครดิตแก่ผู้คิดค้น เราไม่ควรละเลยการยกเครดิตให้กับเจ้าของบทความเดิม ผู้ซึ่งเป็นคนคิดค้นไอเดียนั้น หรือถ้อยคำนั้น และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแอบอ้างเอาชื่อตัวเองใส่ลงไปว่าเราเป็นผู้คิดค้นสิ่งนั้นๆ ด้วยตนเองเป็นอันขาดค่ะ เพราะจะมองได้ว่าเป็นการไม่เคารพผู้อื่น แถมเรายังไม่เคารพตัวเองอีกด้วยนะคะ
.
.
ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูว่า การเป็นนักเขียนรีไรต์ที่ดี ควรทำอย่างไรกันค่ะ
.
1 นักเขียนทุกคนจะต้องรับรู้และใส่ใจในรายละเอียดการเขียนบทความที่มีคุณภาพ ด้วยเนื้อหาที่ต้องดีกว่า มากกว่า และลงลึกได้ชัดเจนกว่าต้นฉบับ และยังต้องถูกต้อง รวมถึงมีความน่าเชื่อถือด้วย
.
2 สำนวนในการเขียนและสร้างสรรค์ผลงานจะต้องดี อ่านแล้วเข้าใจ ไม่มีคำหยาบ หรือ ดิสเครดิตใคร รวมถึงจะต้องไม่ลอกเลียนสำนวนของผู้อื่น เพราะการที่นักเขียนแต่ละคนมีสำนวนของตัวเอง นับว่าเป็นเสน่ห์ของตัวเองที่จะสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านค่ะ
.
3 การรีไรท์บทความที่ดี จะต้องมีเนื้อหาที่ครอบคลุม ตอบโจทย์ทุกความสงสัยของผู้อ่าน นั่นหมายถึง ทุกคำที่เราเขียนลงไปจะต้องเป็นคำตอบที่ผู้อ่านอยากจะรู้
.
4 ที่สำคัญข้อมูลทุกอย่างที่เราเขียนขึ้นมา หากเป็นเชิงหลักการ ไม่ใช่เชิงแนวความคิด
เห็น จะต้องมีแหล่งข้อมูลของเนื้อหาที่เชื่อถือได้ ไม่ตุตะเอาเอง
.
5 ต้องรู้จักตรวจเช็กข้อมูลทุกครั้ง ตรวจดูว่าข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการเขียน ถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นตัวเลข เช่น อายุ พ.ศ. เวลา เป็นต้น เพราะเป็นจุดเล็กที่หลายคนมักจะมองข้าม และทำให้พลาดใส่ข้อมูลผิดลงไปได้ค่ะ

กระดาษข่อย ผลผลิตจากสมัยโบราณ

กระดาษข่อย ผลผลิตจากสมัยโบราณ

 

กระดาษข่อยเป็นสมุดเอกสารตัวเขียนแบบพับที่เคยนิยมใช้ในวัฒนธรรมพุทธ ส่วนใหญ่มักใช้เขียนตำราทางโลก เช่น พระราชพงศาวดาร เอกสารทางกฎหมาย และงานวรรณกรรม ในขณะที่เอกสารตัวเขียนใบลานมักใช้กับตำราทางศาสนา นอกจากนี้ สมุดนี้มีชื่อเรียกหลายแบบ เช่น ‘ปะระไบ’ ในภาษาพม่า ‘สะหมุดข่อย’ ในภาษาลาว ‘พับสา’ ในภาษาไทยถิ่นเหนือและลาว และ ‘ไกรง์’ ในภาษาเขมร
.
กระดาษข่อยถือเป็นกระดาษที่คนไทยผลิตขึ้นใช้เองมาแต่โบราณ แต่เมื่อระบบการผลิตกระดาษแบบอุตสาหกรรมและการพิมพ์เข้ามาการทำกระดาษข่อยก็เริ่มสูญหายไป แม้ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่า การทำกระดาษในเมืองไทยเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่พบว่าในสมัยอยุธยามีการทำกระดาษข่อยใช้แล้ว โดยหลักฐานสำคัญคือพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ที่บันทึกพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบนกระดาษข่อยสีดำด้วยตัวอักษรสีขาว (หรือเรียกว่า สมุดไทยดำ) ตามที่สมเด็จพระนารายณ์ทรงมีรับสั่งให้เรียบเรียงขึ้นเมื่อ พ.ศ.2223
.
ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ (Simon de La Loubère) ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้บันทึกการทำกระดาษและสมุดของชาวกรุงศรีอยุธยาไว้ในจดหมายเหตุลาลูแบร์ ในราว พ.ศ.2223 ว่า

“…ชาวสยามทำกระดาษจากผ้าฝ้ายเก่าๆ และยังทำจากเปลือกต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อต้นข่อย (Ton Coe) อีกด้วย ซึ่งต้องนำมาบดย่อยให้ละเอียด เช่น การย่อยผ้าขี้ริ้ว แต่กระดาษเหล่านี้มีความหนาบางไม่สม่ำเสมอ ทั้งเนื้อกระดาษและความขาวผ่องก็หย่อนกว่าของเรา…

“…หนังสือของพวกเขาไม่มีการเข้าเล่ม เย็บสัน หากทำเป็นยาวเหยียดไม่ใช้วิธีม้วนเก็บเช่นบรรพบุรุษของเรา หากพับทบไปมาอย่างพับพัดด้ามจิ้ว และทางที่ตีเส้นบรรทัดเขียนตัวอักษรนั้นเป็นไปตามยาวของรอยพับหาได้เขียนทางด้านขวางไม่”
.
(อ้างอิงจาก จดหมายเหตุลาลูแบร์ราชอาณาจักรสยาม แปลโดย สันต์ ท.โกมลบุตร, เล่ม 1, พ.ศ.2510)
.
.
ซึ่งในปัจจุบันเองยังมีการผลิตกระดาษข่อยมาใช้อยู่นะคะ อยู่ที่ #ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองค่ะ
.
ทางศูนย์ฯ ใช้ #กระดาษข่อยโบราณ ในการทำหัวโขน ทำตาลปัตรถวายแด่พระสงฆ์ในงานพิธีสงฆ์ของศูนย์ศิลปาชีพต่างๆ และทำเป็นของที่ระลึกจำหน่ายในการแสดงโขนของมูลนิธิ โดยเขียนภาพจิตรกรรมแบบไทยประเพณีไทยลงบนกระดาษข่อย
.
ซึ่งกว่าจะได้กระดาษข่อย 1 แผ่น สมุดข่อย 1 เล่ม และหัวโขน 1 หัว ต้องผ่านขั้นตอนการทำที่ซับซ้อนบวกกับแรงกาย แรงใจ และทักษะฝีมืออย่างมาก ศูนย์ศิลปาชีพสีบัวทองในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จึงเป็นแหล่งบ่มเพาะคนรุ่นใหม่เพื่ออนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาของไทยมิให้สูญหาย

กระดาษแผ่นแรกของโลก เรื่องไม่ลับ เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล

กระดาษแผ่นแรกของโลก เรื่องไม่ลับ เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล

 

#กระดาษ วัสดุแผ่นบางๆ ผลิตขึ้นมาเพื่อการจดบันทึก 📃
.
เรื่องราวของกระดาษนั้นมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากค่ะ ว่ากันว่ากระดาษถูกคิดค้นและมีการใช้กระดาษครั้งแรกจาก #ชาวอียิปต์ และ #ชาวจีนโบราณ จุดประสงค์หลักของกระดาษถูกสร้างขึ้นเพื่อการจดบันทึกด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งในปัจจุบันเรารู้กันดีว่า กระดาษไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ใช้จดบันทึกตัวหนังสือหรือข้อความเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมากมาย เช่น กระดาษห่อของขวัญ กระดาษสำหรับทำกล่อง กระดาษชำระ เป็นต้น
.
#กระดาษแผ่นแรกของโลก ถูกคิดค้นโดยชาวอียิปต์โบราณ เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล 🤩 เรียกกันว่า กระดาษปาปิรุส (Papyrus) ผลิตจากหญ้าที่ชื่อว่า ”ปาปิรุส” หรือต้นกก 🌱
.
#กระดาษของชาวอียิปต์โบราณ ซึ่งกรรมวิธีในการทำกระดาษปาปิรุสของอียิปต์นั้น ทำโดยการจัดวางต้นกกปาปิรุสให้เป็นแนวขวางขัดกันและนำมาบทอัดจนแน่นพร้อมทั้งทำให้แห้งโดยการตากแดด เมื่อกาลเวลาผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านวัสดุและวิธีการผลิต เพื่อให้ได้กระดาษที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นจนถึงสมัยปัจจุบันที่ใช้ต้นยูคาลิปตัสแทนต้นปาปิรุสนั่นเองค่ะ
.
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า มีการใช้งานกระดาษปาปิรุสตั้งแต่ปฐมราชวงศ์ของอียิปต์ (ราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล)
.
ผู้คนสมัยในโบราณจะใช้วัสดุต่างๆ หลากหลายเพื่อการบันทึก ทั้งแผ่นโลหะ⚙️ ใบลาน📜 เปลือกไม้🪵 แม้กระทั่งหิน🪨 และเมื่อราว ค.ศ.105 สมัยพระเจ้าจักรพรรดิโฮตี่ ชาวจีนได้ประดิษฐ์กระดาษโดยชาวเมืองลีบางชื่อว่า ไซลุง (Ts’ai’Lung) ใช้เปลือกไม้เศษมาต้มจนได้เยื่อกระดาษและมาเกลี่ยบนตระแกรงปล่อยให้แห้งและหลังจากนั้นวิธีผลิตกระดาษเช่นนี้แพร่หลายอย่างรวดเร็ว
.
กระดาษถูกนำจากประเทศจีนสู่โลกมุสลิมผ่านสงครามทัลลัส (Tallas) ในปี ค.ศ.751 ที่กองทัพจีนรบกับกองทัพมุสลิม เชลยศึกชาวจีน 2 คนได้เปิดเผยวิธีการทำกระดาษแก่ชาวมุสลิมและได้รับการปล่อยตัวไป จากนั้นมุสลิมได้ทำให้การทำกระดาษเปลี่ยนจากศิลปะไปเป็นอุตสาหกรรมกระดาษ ทำให้มีการพัฒนาการศึกษาในโลกมุสลิมอย่างกว้างขวาง มุสลิมในสมัยกลางจึงเจริญก้าวหน้าด้านศิลปวิทยาการที่สุดในโลก
.
.
ขั้นตอนการผลิตกระดาษปาปิรุส
.
โจชัว มาร์ก (Joshua Mark) บรรณาธิการสารานุกรมอียิปต์ ระบุว่ากระดาษปาปิรุสเป็นรากฐานของกระดาษสมัยใหม่ โดยทำมาจากต้นกกปาปิรุส (Cyperus papyrus) ซึ่งเป็นพืชที่ขึ้นเป็นจำนวนมากทั่วสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอียิปต์และตลอดช่วงของหุบเขาแม่น้ำไนล์ในสมัยโบราณ
.
หลังจากที่รวบรวมลำต้นปาปิรุสแล้ว พวกเขาจะทำการลอกเปลือกของต้นปาปิรุสออก และฝานออกเป็นชิ้นบางๆ เมื่อเสร็จแล้วก็จะนำเนื้อของต้นปาปิรุสที่ถูกฝานไปแช่ในน้ำและกดอยู่ภายใต้หินหนักเป็นเวลา 21 วัน จนกว่าเนื้อของต้นปาปิรุสนั้นจะมีความนุ่ม
.
เมื่อได้เนื้อของต้นปาปิรุสนุ่มตามที่ต้องการแล้ว ก็จะนำมาวางเรียงกันในตะแกรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะวางเนื้อของต้นปาปิรุสนี้ด้วยกันสองชั้นในทิศทางสลับกัน คือชั้นแรกวางในแนวตั้ง และชั้นที่สองวางในแนวนอน ซึ่งน้ำหล่อเลี้ยงที่อยู่ในพืชจะทำหน้าที่เสมือนกาวช่วยยึดติดเนื้อของต้นปาปิรุสที่ถูกฝานทั้งสองชั้นเข้าด้วยกัน
.
ในขณะที่เนื้อของต้นปาปิรุสทั้งสองชั้นยังชื้นก็ใช้ค้อนไม้มาทุบเนื้อของต้นปาปิรุสที่ถูกวางเป็นชั้นๆ ให้กลืนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้งก็จะได้กระดาษปาปิรุสออกมาเป็นแผ่นนั่นเองค่ะ
.
เมื่อกระดาษที่ได้แห้งสนิทแล้ว จะถูกนำมาขัดด้วยวัตถุที่มีลักษณะกลมเช่น หิน เปลือกหอย หรือไม้เนื้อแข็งที่มีลักษณะกลม เป็นต้น
.
กระดาษปาปิรุสที่ผ่านการขัดแล้วจะมีผิวเรียบน่าเขียนมากขึ้น และเนื่องจากกระดาษปาปิรุสในยุคก่อนมีราคาที่แพงมาก ชาวอียิปต์จึงนำกระดาษที่ใช้แล้วมาล้างคราบหมึกให้สะอาดและนำกลับมาใช้ใหม่ค่ะ
.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
thaigoodview.com/node/153727
oknation.net

ความแตกต่างระหว่าง EPUB และ PDF ที่คุณควรรู้

ทุกคนทราบกันไหมคะ ว่าความแตกต่างของทั้งสองไฟล์นี้อยู่ที่ตรงไหน?
ถ้ายังไม่รู้ เราจะบอกให้…
.
.
EPUB เป็นไฟล์ประเภทที่อนุญาตให้ผู้อ่านสามารถปรับเปลี่ยนการจัดเรียงหน้าหนังสือใหม่ได้ตามขนาดของตัวอักษรที่เลือก (reflowable text) นั่นเอง ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้ผู้อ่านสะดวกในการปรับแต่งขนาดของตัวอักษรให้เหมาะสมกับขนาดของจอภาพที่แสดงผล
.
อยากบอกว่า ไฟล์ EPUB ได้รับความนิยมอย่างสูงอย่างมากกก ในกลุ่มผู้อ่านที่ให้จอภาพที่มีขนาดเล็กอย่างเช่น iPhone, iPod, Android Phone และ BlackBerry โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเครื่องอ่านหนังสืออีเล็กทรอนิกส์ (eReader) แทบทุกยี่ห้อ
.
ในขณะที่ไฟล์ PDF นั้นจะอนุญาตให้ผู้อ่านสามารถปรับเปลี่ยนการจัดเรียงหน้าหนังสือใหม่ได้ตามขนาดของตัวอักษรที่เลือก (reflowable) ได้กับอุปกรณ์บางประเภทเท่านั้น
.
แต่ แต่ แต่… ไฟล์ PDF มีจุดแข็งที่ว่า ความคงสภาพของไฟล์เอกสารที่มีความซับซ้อน เช่น ไฟล์ที่มีตาราง แผนภูมิ และรูปภาพประกอบ ตลอดจนยังหลีกเลี่ยงปัญหาไฟล์ไม่สมบูรณ์ได้อีก เนื่องมาจากไฟล์มีตัวอักษรเป็นภาษาต่างประเทศ นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ นั่นเองค่าา
.
หากชอบข้อมูล ข่าวสาร บทความที่เป็นประโยชน์แบบนี้อีก ทุกท่านสามารถติดตามเว็บไซต์ของเราเพื่อรับข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจในวงการห้องสมุดได้เรื่อยๆ เลยนะคะ

Blockdit แหล่งรวมบทความ ข่าวสาร ที่นักอ่านต้องหลงรัก

มีใครรู้จักแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า Blockdit กันบ้างคะ ???
ถ้ารู้จักและเคยใช้ ยกมือขึ้นนน 🙋🏻‍♀️🙋
.
ส่วนถ้าใครยังไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นหน้าตา ไม่เคยใช้เจ้าแอปพลิเคชัน Blockdit ตัวนี้ วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Blockdit กันค่ะ
.
.
Blockdit คืออะไร ?

Blockdit คือ แพลตฟอร์มคลังความรู้ที่มีให้เลือกเสพครบทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ข่าว บทความ วิดีโอ หรือ Podcast ซึ่งโดยรวมแล้วก็จะมีความคล้ายคลึงและรูปแบบการทำงานเหมือนกับ Facebook แต่แอปนี้จะเน้นไปที่นักอ่านซะส่วนใหญ่ เพราะบทความภายในแอปจะเป็นบทความที่เน้นการเขียนมากกว่า โดยคำว่า Blockdit จะมาจากคำว่า Block + Edit ดังนั้น เนื้อหาของบทความที่ลงจะเป็นแบบบล็อกๆ ไม่เขียนยาวติดกันจนเกินไป รวมถึงมีความกระชับเป็นอย่างมากทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านบทความได้แบบเข้าใจง่ายและไม่เบื่อจากหัวข้อที่มีให้เลือกถึง 35 หมวดหมู่ตามเนื้อหาที่สนใจ
.
จุดเด่นของ Blockdit คือ มีระบบคัดกรองข่าวปลอม (fake news) เนื้อหาผิดลิขสิทธิ์ ผิดกฎหมาย รุนแรงและหยาบคาย โดยหลังบ้านจะมีระบบ Algorithm ในการตรวจจับการ Report ซึ่งหากพบว่า บทความที่ถูก Report นั้นมีเนื้อหาเข้าข่ายตามที่กล่าวไปข้างต้นจริง ระบบก็จะทำการตรวจสอบอีกครั้ง หลังจากนั้นก็จะลบเนื้อหาออกจากระบบในทันที ทำให้ผู้ที่เข้าไปอ่านมั่นใจได้ว่าจะได้รับข่าวสารที่มีแต่แบบสาระเน้นๆ
.
.
หากเพื่อนๆ สนใจในงานเขียนก็สามารถเขียนบทความเพื่อสร้างรายได้ได้อีกด้วย แต่ที่สำคัญนั้นต้องมีผู้ติดตามอย่างน้อย 1,000 คนขึ้นไป และบทความที่จะได้รับเงินนั้นต้องเป็นโพสต์ที่ได้รับการติดดาวจึงสามารถสร้างรายได้ ได้ค่ะ โดยรายได้ที่ได้รับ เริ่มต้นตั้งแต่ 0 – 500 บาท ต่อโพสต์ (ที่ได้รับการติดดาว) กันเลยทีเดียว
.
รูปแบบภายในเว็บก็จะเป็นการรวบรวมบทความแนวต่างๆ ส่วนใหญ่จะเน้นแนววิชาการ แนวทฤษฎี แบบหนักๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความรู้แบบลึกๆ โดยเนื้อก็จะแบ่งไปตามหมวดหมู่ไป มีตั้งแต่เนื้อหาชิลล์ๆ อย่างการทำอาหาร การแต่งตัว จนไปถึงการเจาะประเด็นกฎหมายต่างๆ วิเคราะห์สถานการณ์การบ้านเมืองในประเทศและต่างประเทศ ตามที่เราสนใจในหมวดหมู่นั้นๆ
.
หากเพื่อนๆ เป็นนักเขียนหรืออยากเขียนเล่าเรื่องราวของเพื่อนๆ เองก็สามารถทำได้โดยทำการสร้างเพจ และเลือกลงเนื้อหาตามหมวดหมู่ที่เราต้องการ โดยกฎของแอปมีอยู่ไม่มาก แค่ไม่ไปคัดลอกบทความของคนอื่นแล้วมาใส่ว่าเป็นบทความของตัวเองก็ถือว่าสามารถโพสต์เนื้อหาได้แล้ว
.
ส่วนการที่จะได้รับโพสต์ที่ติดดาวได้นั้น โพสต์นั้นต้องมีคนเห็นโพสต์นั้นอย่างน้อย 2,000 คน ส่วนเนื้อหาที่เราลงก็อยู่ที่เราว่าจะเลือกลงเนื้อหาแนวไหนและเลือกกลุ่มผู้อ่านกลุ่มไหน หากมีบทความดีๆ หรือมีเทคนิคดีๆ ก็สามารถทำให้โพสต์ได้ติดดาวได้ไม่ยาก และสามารถสร้างได้ ได้ถึง 0 – 500+ บาท กันเลยทีเดียว
.
เป็นยังไงกันบ้างคะ สำหรับแอป Blockdit ที่เรานำมาให้ทุกท่านได้รู้จัก ถือเป็นทั้งแหล่งรวบรวมความรู้ดีๆ แล้วยังเป็นพื้นที่สำหรับผู้ที่อยากสร้างรายได้ได้อีกด้วย เป็นแอปที่น่าสนใจไม่น้อยกันเลยทีเดียวนะคะ 😍

หนังสือ 7 เล่ม ที่นักสร้างสรรค์ต้องอ่าน

หนึ่งในแง่มุมที่ท้าทายที่สุดของงานสร้างสรรค์คือการลงมือทำจริง ซึ่งมีหลายวิธีในการแยกแยะความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง
.
นักเขียนบางคนกล่าวว่า “พวกเขารอให้เกิดแรงบันดาลใจ” ในขณะที่คนอื่นๆ เขียนทุกวันเพื่อให้งานที่ดีที่สุดของพวกเขา
.
ศิลปินบางคนยืนกรานที่จะเป็นต้นฉบับ และบางคนเชื่อว่าศิลปินที่เก่งที่สุดคือ ขอ ยืม และขโมยแรงบันดาลใจจากผลงานของศิลปินคนอื่นๆ ครีเอทีฟบางคนต้องทำงานในขณะที่ฟังเพลงหรือนั่งอยู่ในร้านกาแฟที่มีเสียงดัง และบางคนก็ต้องการความเงียบอย่างสมบูรณ์
.
.
วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับหนังสือทั้ง 7 เล่มน่าอ่านสำหรับนักสร้างสรรค์งานเขียน ไปดูกันเลยค่ะ
.
.
📕 1. The War of Art Break Through the Blocks (Steven Pressfield)

หากคุณเคยดิ้นรนกับบล็อกที่สร้างสรรค์ คุณต้องอ่าน The War of Art เป็นแนวทางปฏิบัติที่รวดเร็วและนำไปใช้ได้จริงเพื่อความสำเร็จในความพยายามสร้างสรรค์ของคุณ

นักเขียนนวนิยายขายดีอย่าง Steven Pressfield พูดถึง “ศัตรู” ที่ศิลปินทุกคนต้องเผชิญ นั่นคือเสียงภายในที่หยุดงานของคุณ หากคุณเคยดิ้นรนกับความทะเยอทะยานและวินัยที่สร้างสรรค์ หนังสือเล่มนี้คือคำตอบที่คุณต้องการเพื่อเอาชนะความกลัวและทำงานที่สำคัญที่สุดของคุณต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียน จิตรกร หรือผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี นี่คือการอ่านที่คุ้มค่าและสร้างแรงบันดาลใจ
.
.
📕 2. On Writing: A Memoir of the Craft เวทมนตร์ฉบับพกพา : ชีวิตและเรื่องขีดเขียนของสตีเวน คิง

“เวทมนตร์ฉบับพกพา : ชีวิตและเรื่องขีดเขียนของสตีเวน คิง” ไม่ใช่หนังสือคู่มือฮาวทูสอนการเขียน จากคำกล่าวของผู้เขียนเอง มันคือหนังสือที่เล่าว่า.. ผมมานั่งเขียนหนังสือได้อย่างไร ตอนนี้ผมได้รู้อะไรบ้าง และผมทำอย่างไร นี่คือหนังสือเกี่ยวกับงานที่ผมใช้หาเลี้ยงชีพ และมันเป็นงานเกี่ยวกับภาษา ดังนั้น ใครก็ตามที่กำลังมองหาสูตรสำเร็จรูปสำหรับการเป็นนักเขียน.. คงไม่เจอ แต่ถ้าต้องการแรงบันดาลใจและกำลังใจ แสวงหาความรู้สึกทำนองว่า เฮ้ย เราก็เขียนได้!.. หนังสือเล่มนี้มีให้เปี่ยมล้น
.
.
📕 3. Steal Like An Artist ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน

หนังสือระดับ New York Times Bestseller กับความลับ 10 ข้อที่ไม่เคยมีใครบอกคุณเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ ไอเดียที่ไม่ซ้ำใครเลยนั้นไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากไอเดียที่มีอยู่แล้ว แม้แต่จิตรกรเอกของโลกอย่างปีกัสโซยังเคยกล่าวไว้ว่า “ศิลปะคือการขโมย” หัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์ผลงานคือ การเก็บเล็กผสมน้อยจากความคิดของคนอื่น แล้วนำมาผสมผสานกับความคิดของคุณเอง เพื่อสร้างผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวคุณขึ้นมา ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไรหรือทำงานในด้านใดก็ตาม ในหนังสือเล่มนี้ “Austin Kleon” จะเปิดเผยความลับ 10 ข้อที่ช่วยให้คุณคิดสร้างสรรค์แบบศิลปินเอกของโลกได้ เริ่มต้นจากข้อแรกและข้อที่สำคัญที่สุด ขโมยให้ได้อย่างศิลปิน
.
.
📕 4. Big Magic พลังวิเศษของคนธรรมดา

ในแต่ละปีมีคนนับล้านสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ แต่ทำไมคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมาได้กลับมีไม่ถึง 1% คนเหล่านั้นเก่งกว่าคนอีก 99% ที่เหลือใช่ไหม แล้วคนธรรมดา ๆ อย่างเราจะทำแบบนั้นได้อย่างไร? หนังสือ “พลังวิเศษของคนธรรมดา” เล่มนี้ มีคำตอบ โดย “อลิซาเบธ กิลเบิร์ต” จะมาเผยเคล็ดลับที่ช่วยให้เราดึงพลังวิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้ เธอจึงสามารถสร้างผลงานก้องโลกอย่าง “Eat Pray Love” ขึ้นมาได้ ทั้งที่ตอนนั้นเธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพรสวรรค์หรือชื่อเสียงอะไรเลย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในแวดวงไหน เคล็ดลับในหนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณสร้างสรรค์งานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ตามที่คุณต้องการ!
.
.
📕 5. Bird by Bird: Some Instructions on Writing and Life – Anne Lamott

ชีวิตกับงานเขียนดูจะเป็นการเรียนรู้ที่เคียงข้างกันไป Anne Lamott เป็นนักเขียนเจ้าของผลงานทั้งนวนิยายและเชิงสารคดี หนังสือ Bird by Bird เป็นหนังสือบันทึกประสบการณ์ชีวิตและข้อแนะนำเรื่องการเขียนขึ้นที่ปรุงด้วยอารมณ์ขัน งานเขียนชิ้นนี้พูดถึงประเด็นและประสบการณ์ที่คนเขียนทุกคนเคยเจอ เป็นคำแนะนำว่าเราจะเริ่มเขียนยังไง ดราฟต์แรกมันทุเรศทุรังแค่ไหน ไปจนถึงเจอปัญหาความตัน เขียนไม่ออกจะแก้ไขอย่างไรดี เป็นงานเขียนที่ทำให้เราเข้าใจว่า เราไม่ได้ดิ้นรนกับการเขียนอยู่คนเดียว
.
.
📕 6. The Artist’s Way
The Artist’s Way เขียนในรูปแบบที่คล้ายกับหลักสูตร ซึ่งจะแนะนำแบบฝึกหัดต่างๆ ในช่วง 12 สัปดาห์ที่จะช่วยให้คุณปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ในตัวคุณ หากคุณกำลังดิ้นรนกับการบล็อกของนักเขียน นี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอ่าน หนังสือเล่มนี้ต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน หากคุณไม่พร้อมสำหรับการออกกำลังกายจริง คุณก็จะไม่ได้ประโยชน์จากแบบฝึกหัดนี้มากนัก แต่ถ้าคุณมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมกับความคิดสร้างสรรค์ของคุณอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้มีกระบวนการทีละขั้นตอนที่มีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อซึ่งจะช่วยให้คุณทำอย่างนั้นได้
.
.
📕 7. Creative Confidence
“ฉันเป็นคนไม่มีความคิดสร้างสรรค์” “ที่เขาทำได้ ก็เพราะเขามีความคิดสร้างสรรค์ยังไงล่ะ” หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ คำพูดเหล่านี้จะไม่หลุดจากปากคุณอีกต่อไป เพราะจริง ๆ แล้วเราทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัว

หนังสือ “หลักสูตรคิดสร้างสรรค์สำหรับคุณที่ใช้ความคิด” เล่มนี้ จะช่วยให้คุณดึงมันออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ผ่านหลักการและเครื่องมือที่สอนกันในหลักสูตรสุดฮิตของ d.school แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ซึ่งจะช่วยให้คุณเอาชนะสิ่งที่คอยปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของคุณได้ ในแต่ละบทจะมอบเครื่องมือที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้นในการไล่ตามไอเดียใหม่ ๆ รวมทั้งบอกเล่าเรื่องราว วิธีการ และแนวทางปฏิบัติที่กลั่นจากประสบการณ์หลายสิบปี ที่ผู้เขียนได้ร่วมงานกับนักคิดสร้างสรรค์จากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ “มีความคิดสร้างสรรค์” หรือไม่ เชื่อว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้คุณปลดปล่อยและดึงเอาศักยภาพในการคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตัวทุกคนออกมาใช้ได้มากขึ้น!
.
.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://medium.com

 

ประเภทการพิมพ์ที่นิยมในปัจจุบัน

การพิมพ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทงานพิมพ์จะมีความเหมาะสมและลักษณะของการพิมพ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าเราเลือกประเภทงานพิมพ์ให้ตรงกับงานหนังสือของเรา ก็จะทำเราได้งานพิมพ์ที่ดี มีคุณภาพ ออกมาสวยงามตรงตามความต้องการ ถูกใจเรา ถูกใจคนอ่านนั่นเอง
.
ในวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า เทคโนโลยีการพิมพ์ในปัจจุบัน มีประเภทงานพิมพ์อะไรบ้างที่ยังคงได้รับความนิยมอยู่ โดยเราหาข้อมูลมาให้ทั้งหมด 7 เทคโนโลยี พร้อมยกตัวอย่างการใช้งานมาให้ค่ะ จะมีงานพิมพ์อะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ 😁
.
1. การพิมพ์ออฟเซ็ต หรือ การพิมพ์พื้นราบ
ใช้หลักการน้ำกับน้ำมันไม่รวมตัวกัน นิยมใช้ในการพิมพ์งานคุณภาพสูง เช่น แผ่นพับ ใบปลิว นิยสาร วารสาร การ์ด หนังสือ เป็นต้น
.
2. การพิมพ์เลตเตอร์เพลส
เป็นการพิมพ์พื้นนูน โดยใช้แม่พิมพ์ทำจากโลหะผสมหรือพอลิเมอร์ ตัวพิมพ์จะมีลักษณะนูนสำหรับรับหมึก พิมพ์ลงบนวัตถุโดยวิธีการกดทับ ใช้ในการพิมพ์นามบัตร ฉลาก กล่อง ป้าย หรืองานพิมพ์ที่ต้องการความละเอียด
.
3. การพิมพ์ซิลค์สกรีน
เป็นการพิมพ์พื้นฉลุ โดยใช้หลักการให้สีรอดผ่านรอยฉลุบนผ้าลงสู่วัสดุ ใช้สำหรับพิมพ์นามบัตร บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ป้าย กระดาษ พลาสติก โลหะ เสื้อผ้า ขวด จานชาม และชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ
.
4. การพิมพ์ดิจิตอล
เป็นการต่อเครื่องพิมพ์และสั่งพิมพ์ผ่านคอมพิวเตอร์ การพิมพ์แบบดิจิตอลได้รับความนิยมมาก เหมาะกับงานพิมพ์ที่มีปริมาณไม่มาก
.
5. การพิมพ์เฟล็กโซกราฟี
เป็นการพิมพ์พื้นนูน โดยใช้แผ่นพอลิเมอร์ที่มีความยืดหยุ่นเป็นแม่พิมพ์ ใช้หลักการคล้ายเลตเตอร์เพลสใช้พิมพ์งานประเภทกล่องลูกฟูก กล่องกระดาษแข็ง ฉลากต่างๆ ป้าย ถุง ซองพลาสติก
.
6. การพิมพ์กราวัวร์
เป็นการพิมพ์พื้นลึกที่ใช้แม่พิมพ์แบบเป็นล่องลึก ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลา แต่จะได้งานพิมพ์คุณภาพดี จึงเหมาะกับงานยาวๆ อย่างซองพลาสติกต่างๆ
.
7. การพิมพ์อิงค์เจ็ท
เป็นงานพิมพ์ที่ใช้เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก โดยการพ่นหมึกออกมาเป็นหยดเล็กๆ ลงบนกระดาษ เมื่อสั่งพิมพ์ตัวเครื่องจะคำนวณตำแหน่งจุดของภาพรวม และพ่นสีหมึกที่ประมวลผลไว้อย่างแม่นยำตามรูปแบบไฟล์งานที่ใส่เข้าไป ทำให้ภาพออกมาชัดเจนและคมชัด เช่น ป้ายแบนเนอร์ โปสเตอร์ ป้ายโฆษณา บิลบอร์ด โฆษณาติดข้างรถต่างๆ ตลอดจนงานพิมพ์ตกแต่งตามอีเว้นท์ต่างๆ
.
นี่เป็น 7 การพิมพ์ที่ยังนิยมอยู่ในปัจจุบันในงานพิมพ์ค่ะ ซึ่งก็เป็นข้อมูลคร่าวๆ ในส่วนของการทำหนังสือด้วยเช่นกัน อยากให้ทุกท่านได้ลองศึกษากันนะคะ

“หน้ายก” ของหนังสือ คืออะไร รายละเอียดเล็กๆ แต่สำคัญมาก

การพิมพ์หนังสือ 1 เล่ม มีขั้นตอนมากมายที่จะต้องใส่ใจ เพราะหนังสือแต่ละประเภทต่างก็ต้องมีมาตรฐานการพิมพ์ที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระดาษที่ได้สัดส่วนของงานพิมพ์ ขนาดกับความหนาที่ต่างกัน และยังรวมไปถึงการใช้ขนาดหน้ายกของหนังสือแต่ละประเภทที่ถูกต้องตรงขนาดของงานพิมพ์
.
ซึ่งเราเชื่อว่า ยังมีหลาย ๆ คน อาจยังไม่รู้ว่า หน้ายก คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับงานพิมพ์ วันนี้เราจะพาคุณไปหาคำตอบกันค่ะ
.
.
“หน้ายก” ของหนังสือคืออะไร
หน้ายก คือ ภาษาของการพิมพ์เพื่อแสดงขนาดและความหนาหนังสือตามปริมาณกระดาษ โดยการพิมพ์หนังสือเล่มจะพิมพ์ลงกระดาษแผ่นใหญ่ในแม่พิมพ์หรือเพลททีละกรอบ ซึ่งกระดาษแต่ละแผ่นจัดหน้าจำนวนกี่หน้า ก็นับจำนวนหน้าใน 1 เพลทเป็น 1 ยก ทั้งนี้หน้ายก อาจจะต้องมีตัวเลขนำหน้าเสมอ เพื่อแสดงว่าหนังสือเล่มนั้นมีขนาดเท่าใด เช่น 8 หน้ายก, 16 หน้ายก, 32 หน้ายก, 64 หน้ายก แต่ก็ขึ้นอยู่กับขนาดกระดาษและการพับด้วย
.
การพิมพ์หนังสือในโรงพิมพ์ หน้ายกคือจำนวนหน้าที่ได้จากการพับแผ่นพิมพ์ 1 แผ่น ซึ่งมีขนาด 15.5 x 21.5 นิ้ว หรือ 17.5 x 24 นิ้ว
หากพับ 1 ครั้งได้ 4 หน้า เรียก 4 หน้ายก
หากพับ 2 ครั้งได้ 8 หน้า เรียก 8 หน้ายก
หากพับ 3 ครั้งได้ 16 หน้า เรียก 16 หน้ายก
หากพับ 4 ครั้งได้ 32 หน้า เรียก 32 หน้ายก
.
.
#ขนาดหน้ายกของหนังสือทั่วไป
1 หน้ายก ขนาดคือ 31” x 43”
4 หน้ายก ขนาดคือ 14.5” x 22.5”
8 หน้ายก ขนาดคือ 7.5” x 10.25”
16 หน้ายก ขนาดคือ 5” x 7.25”
32 หน้ายก ขนาดคือ 3” x 4.5”
.
.
#ขนาดของหนังสือ
ขนาด 8 หน้ายก เป็นขนาดที่ใช้กันทั่วไปในการพิมพ์หนังสือเรียน ด้วยการใช้กระดาษขนาด 31 x 43 นิ้วมาตัดลงพิมพ์ และพับได้ลงตัวพอดี

ขนาด A4 เป็นขนาดมาตรฐานตามที่องค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศกำหนดใช้กระดาษ 24 x 35 นิ้ว พิมพ์ และพับได้ลงตัวพอดี เรียกว่า ขนาด 8 หน้ายกพิเศษ

ขนาด 16 หน้ายก เป็นขนาดที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ขนาดพ๊อกเกตบุ๊ค นิยมพิมพ์เป็นคู่มือ ด้วยการใช้กระดาษขนาด 5 x 7 นิ้ว หรือขนาด A5 หรือ A4 พับครึ่ง

ขนาดของวารสาร นิตยสาร มีขนาดไม่แน่นอนนัก อาจใช้ขนาด 8.5 x 11.5 นิ้ว จะมีขนาดใกล้เคียงกับขนาด A4
.
.
นี่ก็คือข้อมูล “หน้ายก” ของหนังสือ ซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่สำคัญมากสำหรับการทำหนังสือ ผู้เริ่มเขียนทั้งหลายต้องเรียนรู้ไว้ค่ะ งานของเราจะได้ออกมาอย่างสมบูรณ์มากที่สุดค่ะ

การนับสีในงานพิมพ์เขานับกันอย่างไร

เราจะรู้ได้ยังไงว่า งานที่เราพิมพ์นั้นมีกี่สี บางคนไม่ทราบวิธีนับสีก็จะตกใจ คิดว่ามีสี เยอะมากเป็นสิบเป็นร้อยสี กลัวราคาจะสูงเพราะว่าสีมีผลต่อราคาค่าพิมพ์ต่อหน่วย
.
ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปรู้จักวิธีการนับสีในงานพิมพ์ว่า การนับสีในงานพิมพ์เขานับกันอย่างไรค่ะ
.
จริงๆ แล้ว การนับสีมีหลักการอยู่ว่า 1 เพลท คือ 1 สี เพราะภาพต่าง ๆ ที่เราเห็นจะใช้แค่ 4 เพลท หรือที่เรียกกันว่างาน 4 สี โดยใช้หลักเดียวกันกับการผสมสี แม่สี 3 สี และจะมีสีดำอีกหนึ่งเป็น 4 ผสมกันวาดเป็นภาพเหมือนจริงได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีสีพิเศษเพิ่มเข้ามาตามความต้องการการใช้งานอีกด้วย โดยจะประกอบไปด้วย สีเงิน สีทอง ซึ่งจะต้องเพิ่มเพลทมา 1 เพลท หรือนับเพิ่มเป็น 1 สี นั่นเอง
.
พิมพ์ 1 สี หรือ การพิมพ์สีเดียว
ส่วนใหญ่จะเป็นงานพิมพ์ขาว ดำ ซึ่งการพิมพ์สีเดียวเป็นงานพิมพ์ที่เราเห็นสีกันทั่วไป ทั้งนี้งานพิมพ์สีเดียวไม่จำเป็นจะต้องใช้แค่สีขาวกับดำ แต่จะพิมพ์เป็นสีเขียว เหลือง แดง น้ำเงิน ก็ได้เช่นกัน และในสีที่พิมพ์นั้นยังสามารถทำเป็นหลายระดับ ตั้งแต่อ่อนไปจนถึงเข้มทำให้ดูเหมือนว่ามีหลายสี อย่างเช่น การเลือกสีน้ำเงินในการพิมพ์กระดาษขาว ก็จะไล่สีน้ำเงินเข้มไปจนสีอ่อนก็จะดูเหมือนมีสีฟ้า สีคราม ในงานเดียวกันได้ ทั้งนี้งานพิมพ์สีเดียวที่นิยม คือ หนังสือเรียน หนังสือเล่ม พ็อกเก็ตบุ๊ค แต่จะเป็นเนื้อหาข้างใน ไม่ใช่ปก และการพิมพ์ 1 สี จะมีต้นทุนต่ำที่สุด
.
พิมพ์ 2 สี และ 3 สี
เพิ่มความสนใจ ความสวยงามให้งานพิมพ์น่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น ซึ่งพิมพ์ 2 สี หรือ 3 สี ส่วนใหญ่จะนิยม 2 สี เช่น ดำกับแดง ดำกับน้ำเงิน เขียวกับเหลือง หรือจะเป็นคู่สีอะไรอื่น โดยค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง เพราะโรงพิมพ์จะต้องเพิ่มเพลทตามจำนวนสี และต้องเพิ่มเที่ยวพิมพ์ตามไปด้วย งานพิมพ์ที่เหมาะสำหรับพิมพ์สีพิเศษ เช่น สมุดโน้ต สติ๊กเกอร์ทั่วไป ถุงกระดาษ ซองเอกสาร เป็นต้น
.
พิมพ์ 4 สี (แบบสอดสี)
จะทำให้ได้สีที่เหมือนกับรูปแบบหรือต้นฉบับที่เราต้องการ ซึ่งจะเป็นภาพที่มีสีสันสวยงามเหมือนกับที่ตาเราเห็น ในส่วนวิธีการพิมพ์ 4 สี จะใช้สี CMYK (สีดำ แดง เหลือง น้ำเงิน) โดยพิมพ์ผสมกันออกมาจะได้หลายสี แต่จะมีความยุ่งยากกว่าทั้ง 2 แบบแรก จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องใช้เพลท 4 ตัว แล้วต้องพิมพ์ 4 รอบ สิ่งพิมพ์ส่วนมากที่นิยมใช้การพิมพ์ 4 สี อย่างเช่น ทำปกโปสเตอร์ ทำปกวารสาร หน้าแฟชั่นในนิตยสาร ฯลฯ
.
พิมพ์สีพิเศษ
อย่างเช่น สีทอง สีเงิน และสีสะทองแสง ซึ่งสีพิเศษคือสีที่ไม่สามารถผสมระหว่างสีได้ โดยเฉดสีทองและเฉดสีเงินก็จะมีความแตกต่างกัน สีเทาจะให้ความเงาและด้านต่างกัน ในส่วนของสีเงินจะมีเงินมันวาวกับเงินด้าน ดังนั้นการพิมพ์สีพิเศษนั้น จะต้องทำเพลทเพิ่มขึ้นตามจำนวนสีอีกเช่นเดียวกัน งานพิมพ์ที่เหมาะสำหรับพิมพ์สีพิเศษ เช่น ใบปลิว แผ่นพับ หนังสือ กล่องบรรจุภัณฑ์ ปฏิทิน การ์ด โปสเตอร์ ถุงกระดาษ เป็นต้น
.
เมื่อเรารู้วิธีการนับสีในงานพิมพ์แล้ว จะทำให้เราสามารถเลือกการพิมพ์สีได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และสามารถรู้ว่าราคาแต่ละแบบมีความแตกต่างกันเท่าไร ทั้งยังทำให้เราได้งานที่ดี มีคุณภาพ ตามแบบที่เราต้องการอีกด้วยค่ะ